.
ทำไมเจ้าของกิจการควรสร้างสมดุลระหว่างการโปรโมทเว็บไซต์แบบลงโฆษณาและไม่ลงโฆษณา

ทำไมเจ้าของกิจการควรสร้างสมดุลระหว่างการโปรโมทเว็บไซต์แบบลงโฆษณาและไม่ลงโฆษณา

SEO คืออะไร?
SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของคุณมีโอกาสเจอเว็บไซต์ของคุณมากยิ่งขึ้น ในระหว่างที่พวกเขากำลังค้นหาสิ่งที่เกี่ยวข้องกับบริการหรือผลิตภัณฑ์ของคุณ มันสามารถช่วยให้คุณแสดงผลในอันดับการค้นหาที่สูงกว่าปกติเป็นเวลานานกว่าเดิมได้ ลูกค้ามักจะเชื่อถือและกดคลิกชมเนื้อหาแบบไม่โฆษณาที่ถูกค้นเจอจากเสิร์ชเอนจินมากกว่า มันยังมักโผล่มาในการค้นหาแบบเจาะจงพื้นที่ได้บ่อยครั้งกว่า และยังช่วยให้คุณสามารถขยายเวลาแสดงผลบนแพลตฟอร์มออนไลน์ได้นานขึ้นอีกด้วย หากคุณต้องการให้องค์กรของคุณประสบความสำเร็จ คุณควรให้ความสำคัญกับการออกแบบหน้าเว็บไซต์ทำให้เว็บไซต์ของคุณสามารถแสดงผลในหน้า Google โดยคุณสามารถเพิ่ม Online Visibility เช่นเดียวกันกับ Domain Authority ของคุณได้ด้วยการทำให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในอันดับการค้นหาที่สูงขึ้นบนผลลัพธ์การค้นหา หากจะพูดให้เข้าใจได้ง่ายก็คือ การจัดรูปแบบเว็บไซต์และสร้างคอนเท้นท์บนหน้าไซต์ของคุณ การใช้งานคีย์เวิร์ดให้ได้รับการจัดอันดับบนหน้าการค้นหาสูงๆ การเผยแพร่ NAP ของคุณเช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ และอื่นๆ จะช่วยให้ Google เข้าใจว่าเว็บไซต์ของคุณตรงกับการค้นหาและยังช่วยให้ลิงค์ของคุณปรากฏบนอันดับการค้นหาต้นๆ บนหน้าผลลัพธ์การค้นหาอีกด้วย

ข้อดี & ข้อเสียของ SEO (แบบไม่จ่ายเงิน)
SEO มีประโยชน์มากมาย

ความน่าเชื่อถือ: อันดับการค้นหาที่สูงขึ้น หมายความว่าเว็บไซต์ของคุณจะมีความน่าเชื่อถือเพิ่มมากขึ้นในสายตาของกลุ่มเป้าหมายที่กำลังค้นหาบริการของคุณ และยังหมายถึงอำนาจและความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนั้นๆ ได้อีกด้วย การมีรีวิวและชื่อเสียงที่เชื่อถือได้จะทำให้กลุ่มเป้าหมายไว้วางใจเว็บไซต์ของคุณได้มากขึ้น และเพิ่มโอกาสในการคลิกผ่านเข้าไปยังเว็บไซต์ได้มากขึ้น

การรับรู้: การทำให้กลุ่มเป้าหมายได้รู้จักเว็บไซต์ของคุณบนหน้าเสิร์ชเอนจินผ่านคีย์เวิร์ดที่กำหนดสามารถนำเสนอธุรกิจของคุณให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้เห็น และกระตุ้นการรับรู้ถึงแบรนด์ได้ เหมือนกับการโฆษณานั่นเอง

ความสดใหม่: หากเนื้อหาที่ปรากฏบนอันดับต้นๆ คือข้อมูลใหม่ๆ การจัดอันดับการค้นหาของคุณก็จะมีความสดใหม่มากขึ้นกว่าเดิม

การตลาดสร้างแรงดึงดูด: กลยุทธิ์การค้นหาโดยไม่โฆษณาทำให้นักการตลาดต้องพัฒนาเนื้อหาอยู่เสมอให้ได้ประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ความเกี่ยวพันในการซื้อ (Involvement Purchase) สูงขึ้นผู้ใช้จะสามารถแสดงปฏิสัมพันธ์กับเนื้อหาได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาเริ่มรู้จักสินค้าหรือบริการนั้นๆแล้ว(Purchase Funnel)

ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI): ยอดผู้เข้าชมที่เกิดขึ้นโดยไม่ผ่านการจ่ายเงินสามารถเพิ่ม ROI ได้มากกว่าการโฆษณาผ่านการจ่ายเงินแบบดั้งเดิม และเพิ่มได้มากกว่า PPC อย่างแน่นอน

ค่าใช้จ่าย: SEO ไม่เพียงแค่ถูกและง่ายเท่านั้น แต่มันยังคุ้มทุนมากกว่าเทคนิคการตลาดอื่นๆ ในแง่ของการช่วยให้กลุ่มเป้าหมายรับรู้แบรนด์มากขึ้น และดึงดูดผู้เยี่ยมชมมายังเว็บไซต์ของคุณ อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้มีข้อดีไปหมดเสียทุกอย่าง

เวลา: มันอาจใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปีกว่าจะได้อันดับการค้นหาสูงๆ โดยขึ้นอยู่กับว่าคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องมีประสิทธิภาพสูงพอที่จะแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดได้หรือเปล่า

ทรัพยากร: คุณควรใช้ทั้งเทคนิค SEO และการสร้างคอนเท้นท์เพื่อให้ได้อันดับสูงๆ ซึ่งอาจเป็นเรื่องยาก น่าหงุดหงิด และใช้เวลานาน

เมื่อใดที่ควรเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์การเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์สามารถสร้างโอกาสให้ธุรกิจของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้น เช่นเดียวกับการให้ความรู้แก่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายว่าทำไมพวกเขาควรซื้อสินค้าหรือบริการจากคุณ นักการตลาดส่วนใหญ่มักใช้ SEO และเนื้อหาข้อมูลให้ได้อันดับการค้นหาอันดับต้นๆ ผลการค้นหาทั่วไปจะแสดงรายการหน้าเว็บออกมาตามอัลกอริทึมของเครื่องมือค้นหาซึ่งตรงกับสตริงคีย์เวิร์ดการค้นหา เป้าหมายของนักการตลาดคือการได้ปรากฏอยู่ในหน้าแรกของรายการ จากนั้นจึงย้ายขึ้นไปอยู่ในสามอันดับแรกของการค้นหาคีย์เวิร์ดที่เฉพาะเจาะจงเนื่องจากพวกเขาอาศัยการทำให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายมองเห็นเป็นหลัก ยิ่งมีอันดับสูงขึ้นเท่าไหร่ ข้อดีที่กล่าวมานี้ก็จะยิ่งเด่นชัดมากขึ้นเท่านั้น

PPC คืออะไร?
PPC หรือ Pay Per Click คือโมเดลของการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหาบนอินเตอร์เน็ต (SEM) ที่ผู้ลงโฆษณาจ่ายเงินให้ผู้เผยแพร่โฆษณาอย่าง Google หรือ Facebook หรือไม่ว่าโฆษณานั้นจะถูกคลิกจากที่ใดก็ตาม ด้วยวิธีนี้จะทำให้คอนเทนท์ของคุณสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้นอกจากนี้แล้วผู้ลงโฆษณายังสามารถจ่ายต่อเมื่อผู้บริโภคมีการโต้ตอบกับรายการเนื้อหาของเขาเท่านั้นได้ด้วยซึ่งวิธีนี้คุณสามารถดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่สนใจในข้อเสนอของคุณได้วิธีนี้ทำให้ผู้ลงโฆษณาจะต้องคัดสรรคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับตลาดเป้าหมายของพวกเขาในเสิร์ชเอนจิน คุณจะเห็นว่าด้านบนสุดของหน้าการค้นหาจะมีเครื่องหมาย “Ad” ปรากฏอยู่ หากมีคีย์เวิร์ดในการค้นหามากเพียงใด ผู้ลงโฆษณาก็จะต้องจ่ายเพิ่มขึ้นPPC สามารถช่วยให้ธุรกิจแข่งขันได้ในตลาดที่มีคู่แข่งหนาแน่น และเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วในกรณีที่องค์กรนั้นๆ ไม่มี Domain Authority ที่ทำให้เว็บไซต์ของพวกเขาถูกจัดอันดับบนเสิร์ชเอนจินได้โดยไม่เสียค่าโฆษณา

ข้อดี & ข้อเสีย PPC (แบบจ่ายเงิน)
PPC สามารถให้ประโยชน์เหล่านี้ได้

เวลา: เนื้อหาของคุณจะถูกวางไว้ที่ด้านบนสุดของการจัดอันดับทันทีที่คุณจ่ายเงินสำหรับตำแหน่งโฆษณา ไม่เหมือนกับการจัดอันดับการค้นหาโดยทั่วไปการแสวงหาและวิเคราะห์ข้อมูลการตลาด: ในการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายจะไม่มีข้อจำกัด ในการซ่อนคีย์เวิร์ด ไม่เหมือนกับการค้นหาทั่วไป คุณสามารถกำหนดได้ว่าคีย์เวิร์ดใดที่สร้างผลลัพธ์หรือเปอร์เซ็นต์และค่าใช้จ่ายเท่าใดด้วยเครื่องมือวัดผลการโฆษณา ซึ่งรวมกับซอฟต์แวร์การวิเคราะห์อยู่ในนั้นด้วย โดยมันสามารถป้อนข้อมูลเข้าสู่การตลาดการค้นหาทั่วไปได้โดยตรง และสามารถแจ้งโฆษณาอื่นๆ เพื่อปรับปรุงผลลัพธ์ทั่วทั้งระบบได้

การเจาะเป้าหมาย: PPC เป็นวิธีที่กำหนดเป้าหมายอย่างเฉพาะเจาะจงเพื่อเข้าถึงลูกค้าเฉพาะกลุ่มซึ่งสามารถแบ่งกลุ่มได้ตามภูมิศาสตร์ ระดับการศึกษา รายได้ อายุ สถานภาพการสมรส อุตสาหกรรม ฯลฯข้อเสียของมันคือ

ค่าใช้จ่าย: ราคาจะสูงขึ้นเรื่อยๆ สำหรับการคลิกแต่ละครั้งบนโฆษณาที่แสดง หากคีย์เวิร์ดมีการแข่งขันสูงขึ้น
เป็นเวลาไม่นาน: ข้อเสียเปรียบที่เลวร้ายที่สุดคือโฆษณาของคุณจะหายไปทันทีที่คุณนั้นหยุดจ่ายเงิน
ความไม่เชื่อถือ: ผู้บริโภคมักหลีกเลี่ยงและไม่ไว้วางใจโฆษณาแบบชำระเงิน
อัตราการคลิกผ่าน: มีอัตราต่ำกว่าผลลัพธ์ที่แสดงจากการจัดอันดับตามธรรมชาติ

เมื่อไหร่ที่ควรจ่ายเพื่อเพิ่มการเข้าชม
ธุรกิจมักจะจ่ายเงินเพื่อให้ PPC แสดงโฆษณาของตนเวลาที่ผู้ใช้ค้นหาคีย์เวิร์ดเฉพาะ โดยปกติโฆษณาของคุณจะแสดงอยู่ด้านบนหรือด้านขวาของผลการค้นหาทั่วไป  คุณควรเลือก PPC เมื่อคุณต้องการข้อดีที่ตรงกันข้ามกับอันดับผลการค้นหาแบบไม่จ่ายเงิน แม้ความจริงแล้วมันจะขึ้นอยู่กับขั้นตอนการเสนอราคาและคะแนนคุณภาพก็ตาม

เพราะอะไรการทำให้กลยุทธ์ทั้งสองสมดุลกันใดปี 2020 จึงสำคัญนัก?
ปกติแล้วนักการตลาดขาเข้าจะหลีกเลี่ยงการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย แต่ในปัจจุบันนี้การทำงานร่วมกันกับโฆษณาโซเชียลมีเดียและเครื่องมือ เช่น HubSpot Ads กลับกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้นเมื่อนักการตลาดไม่ต้องการรอ3 – 6 เดือนเพื่อเริ่มเห็นความเคลื่อนไหวในการจัดอันดับการค้นหา พวกเขาจึงตัดสินใจจ่ายเงินเพื่อดึงดูดผู้เข้าชมมายังเว็บไซต์ของพวกเขา และเร่งให้การตลาดมอบผลลัพธ์ที่เต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

คลิ๊กดู ตัวอย่างเว็บสวยๆ จากผลงาน GENIUSWEBB และบริษัท จีเนียส กราฟฟิค รับออกแบบเว็บไซต์,ทำเว็บให้รองรับมือถือ,รับจ้างทําเว็บไซต์

Sources
https://www.impactbnd.com/blog/organic-search-vs-paid-search
https://www.dmn3.com/dmn3-blog/paid-vs-organic-search-which-is-better
https://searchengineland.com/seo-vs-ppc-pros-cons-integrated-approach-274643
https://blog.hubspot.com/marketing/tabid/6307/bid/1514/paid-search-vs-organic-search.aspx

บทความที่น่าสนใจ